นายสมชัย สูงสว่าง ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจภาพและการพิพม์ บริษัท ฮิวแลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจซัพพลายในปัจจุบันมีมูลค่ารวมในตลาดประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการนับรวมทั้งหมึกพิมพ์แท้-ปลอม กระดาษพิมพ์ และอื่นๆ ที่ถือเป็นซัพพลายทั้งหลาย
“เอชพีมีส่วนแบ่งในตลาดซัพพลายประมาณ 35% ซึ่งถ้าเทียบกับปีก่อนๆ อัตราเติบโตเฉลี่ยจะอยู่ที่ราวๆ 15-16% แต่เนื่องจากปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ทางการเมืองทำให้อัตราการเติบโตลดลงไปอยู่ที่ 12% ดังนั้น ในปีนี้คาดว่าจะกลับมาเติบโตในอัตราเดิม จากกระแสตอบรับในตลาดที่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านเหตุการณ์ชุมนุมที่ผ่านมา”
ในกรณีที่นับเฉพาะหมึกพิมพ์เอชพีจะมีส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 65% ขณะที่โทนเนอร์จะอยู่ราวๆ 75% จากกลุ่มลกค้าทั้งในองค์กรธุรกิจ ภาครัฐ และเอกชน ซึ่งในส่วนนี้จะมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 1% ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ที่ทยอยเพิ่มขึ้นมา จะมาจากผู้บริโภคที่เคยใช้หมึกเติม หรือ หมึกเทียบเท่าที่ไม่ได้คุณภาพเป็นหลัก
นายกฤษณ์ กิตติทัตน์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการตลาด ผลิตภัณฑ์ซัพพลาย บริษัท ฮิวแลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายหลักของกลุ่มผลิตภัณฑ์ซัพพลายในตอนนี้คือการให้ข้อมูลกับลูกค้าใน เรื่องประสิทธิภาพของหมึกแท้ ว่ามีคุณสมบัติดีกว่าหมึกเติม หรือ หมึกเทียบเท่าอย่างไร
“ผู้บริโภคในปัจจุบันยังไม่แน่ใจ 100% ว่าประโยชน์จากการใช้หมึกแท้ดีอย่างไร การที่เอชพีร่วมมือกับสถาบันวิจัยต่างๆ เปิดเผยผลการทดสอบเกี่ยวกับหมึกพิมพ์ออกมาจะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้ กับตัวผลิตภัณฑ์มากขึ้น รวมไปถึงการจัดเคมเปญลุ้นโชคแจกทองต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งานหมึกแท้”
โดยผลการวิจัยของบริษัท TUV SUD PSB ที่เป็นองค์กรชั้นนำด้านการทดสอบทางเทคนิคให้ผลสรุปว่า ตลับหมึกพิมพ์แท้ของเอชพีโดยเฉลี่ยสามารถพิมพ์ได้มากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับหมึกพิมพ์แบรนด์อื่นๆ นอกจากนี้ยังพบว่า 42% ของหมึกเติม จะชำรุดระหว่างกระบวนการผลิต และก่อนเวลาอันควร
ขณะเดียวกัน บริษัททดสอบอิสระ QualityLogic ได้ทำการเปรียบเทียบความน่าเชื่อถือระหว่างตลับหมึกพิมพ์เอชพีสำหรับเครื่อง เลเซอร์เจ็ทกับตลับหมึกเติมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พบว่ามากกว่า 60% ของผงหมึกเติมมีคุณภาพน้อย สีซีดจาง และมีการยึดเกาะของโทนเนอร์น้อยกว่าตลับหมึกแท้ถึง 7 เท่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น